ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
หากเอ่ยชื่อ ชานนทน์ ภู่เจริญยศ ผู้บริหาร บริษัทเจเอสพี ฟิวเจอร์ส ซึ่งทำหน้าที่เป็นโบรกเกอร์ของตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ AFET ก็คงจะไม่เป็นที่รู้จักและน่าสนใจมากนัก แต่ หากบอกว่า ความฝันของเขาคือ การปลุกปั้นตลาดAFET ให้กลายเป็นตลาดแห่งการเก็งกำไร เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุน ส่งเสริมการทำรายได้ของบริษัทจนทำให้สามารถเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนได้ ก็คงจะทำให้ใครหลายคนหันมาสนใจได้บ้าง
คุณนายชานนทน์ ภู่เจริญยศ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอสพี ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า บอกกับมุมมองนักบริหาร ว่าภารกิจ "ปลุกยักษ์" อย่างAFET ให้ตื่น ถือเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุดในตอนนี้ เนื่องจาก ปัจจุบันจุดยืนทางการตลาด (Positioning) ของ AFET คือ การเป็นตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าเพื่อประกันความเสี่ยงตามนโยบายของรัฐนั้น เป็นการวางตำแหน่งในลักษณะที่ไม่กระตุ้นการลงทุนให้เกิดมูลค่าการซื้อขาย และเอื้อต่อการเติบโตของตลาดเท่าไหร่นัก
ดังนั้นการปลุกยักษ์ในแนวทางของเจเอสพี ฟิวเจอร์สฯ จึงจะต้องวางตำแหน่งจุดยืนของตลาดใหม่ให้AFET เป็น "ตลาดแห่งการเก็งกำไร "แทน "ตลาดเพื่อประกันความเสี่ยง"เนื่องจากมองเห็นถึงอัตราความผันผวนตลาดที่สูงถึง 33.89% ซึ่งสูงกว่าตลาดอนุพันธ์(ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน)หรือ TFEX ที่เป็นตลาดซื้อขายล่วงหน้าประเภทเดียวกัน แต่มีความผันผวนเพียง 18.04% จึงเชื่อว่าจากการวางตำแหน่งทางการตลาดใหม่ จะช่วยดึงดูดนักลงทุนให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นในตลาด
" ถ้าพูดถึงเรื่องประกันความเสี่ยงเพียงอย่างเดียวมันก็น่าเบื่อ แต่ถ้าเราชี้ช่องให้นักลงทุนเห็นว่า สามารถเข้ามาเก็งกำไรในตลาด AFET ได้ จากความผันผวนของราคา ทั้งในช่วงตลาดขาขึ้นและขาลง ก็จะเป็นการช่วยสร้างตลาดให้มีการซื้อขายมากขึ้นได้ ซึ่งผมมองว่าเป็นหน้าที่ของโบรกเกอร์ในตลาดAFETที่จะต้องทำ " นายชานนทน์กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีแผนการที่ดีแต่ก็ต้องยอมรับว่า นักลงทุนที่จะเข้ามาซื้อขายในตลาดที่มีความผันผวนสูงได้ ต้องไม่ใช่นักลงทุนรายย่อย แต่ต้องเป็นนักลงทุนขนาดใหญ่ที่มีทุนหนาเพียงพอ สามารถใส่เงินเข้ามาเสริมได้เมื่อถูกเรียกวงเงินประกันเพิ่ม(Call margin) หากวงเงินประกันปรับลดลง จากสภาวะตลาดที่ไม่เป็นไปตามทิศทางที่คาด
ดังนั้นบริษัทจึงได้เข้าหานักลงทุนขนาดใหญ่ ที่เป็นกองทุนเข้ามารองรับการซื้อขาย ภายใต้แนวคิดดังกล่าวนอกจากนี้ที่เหตุผลที่บริษัทเชื่อว่า ตลาดAFET จะได้เป็นที่สนใจและสามารถพัฒนาตลาดให้มีขนาดใหญ่ได้ในอนาคต เนื่องจากเป็นตลาดมีข้อดีตรงที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายในประเทศ เช่น ความเสี่ยงทางการเมือง ในขณะที่ตลาดหุ้นไทย จะได้รับผลกระทบทางการเมืองอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ตลาดAFETจะขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกในต่างประเทศ เช่น อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา และราคาน้ำมัน เพราะสินค้าส่วนใหญ่ เป็นสินค้าที่ส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะยางพาราที่ส่งออกถึง 90% ของสินค้าที่ผลิตได้ในประเทศ รวมถึงอนาคตมองว่า ภายใน 1-2 ปี น่าจะเห็นการร่วมมือระหว่างโบรกเกอร์AFETและโบรกเกอร์ TFEXในด้านความร่วมมือซื้อขายระหว่างตลาด เนื่องจากทั้งสองตลาดมีวิธีการลงทุนเหมือนกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจของบริษัทที่ทำหน้าที่ซื้อขายในตลาดAFET เป็นอย่างมากเพราะจะช่วยให้มีจำนวนบัญชีที่ซื้อขายสม่ำเสมอ(Active)เพิ่มขึ้น เนื่องจากลูกค้าเดิมมีทางเลือกในการซื้อขายสินค้าในตลาดTFEXอีกช่องทางหนึ่ง
ในขณะเดียวกันเชื่อว่า บริษัทจะได้รับประโยชน์จากลูกค้าของตลาดTFEX ที่สนใจเข้ามาซื้อขายในตลาดAFETด้วย เพราะเป็นตลาดที่นักลงทุนสามารถเข้ามาเก็งกำไรได้ดีกว่า
พร้อมทั้งคาดว่าน่าจะเกิดการควบรวมระหว่างตลาดAFET และ TFEX ได้ภายใน2-3ปี แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งน่าจะมีบทบาทในเรื่องนี้ คือ กระทรวงการคลัง ที่ดูแลTFEXจะต้องเร่งเจรจาหารือร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ ที่ดูแลตลาดAFET ให้สำเร็จก่อนซึ่งหากสามารถผลักดันได้ก็จะช่วยกระตุ้นการซื้อขายได้มากขึ้น
นายชานนทน์กล่าวต่อว่า หากแผนการ "ปลุกยักษ์" และการซื้อขายระหว่าง2ตลาด เกิดขึ้น ก็จะส่งเสริมให้ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นแนวทางหลักของบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ก็จะประสบความสำเร็จได้ภายใน 3-4 ปี ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้
โดยล่าสุดในเดือนเมษายน 2550 บริษัทสามารถกินส่วนแบ่งทางการตลาดของธุรกิจโบรกเกอร์ที่ซื้อขายสินค้าในตลาดAFET ได้แล้ว 16.63% ขึ้นแท่นอันดับ 1ของธุรกิจ ซึ่งถือว่าได้ประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพึงพอใจ
อย่างไรก็ตามยอมรับว่า ในช่วง3 ปีที่ผ่านมา บัญชีผลการดำเนินงานของบริษัทยังเป็นตัวเลขสีแดงต่อเนื่องอยู่ ซึ่งผลการขาดทุนดังกล่าวเกิดขึ้น เนื่องจากบริษัทได้มีการลงทุนขั้นต้นในอุปกรณ์และระบบต่างๆเพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจโบรกเกอร์ในตลาด ซึ่งถือเป็นผลขาดทุนที่เกิดขึ้นตามปกติของธุรกิจเริ่มแรก ซึ่งแน่ใจว่าจากนี้ไปจะไม่ขาดทุนซ้ำรอยเดิม
ต้องถือว่าแนวคิดของโบรกเกอร์เล็กๆอย่าง เจเอสพี ฟิวเจอร์ส ที่จะ "ปลุกยักษ์AFETให้ตื่น น่าจะช่วยให้ตลาดน่าสนใจและมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องติดตามต่อไปเรื่อยๆ เพราะไม่แน่ว่า อาจจะกลายเป็นต้อง "ปลุกตัวเอง"ให้ตื่นจากฝันก็ได้
ที่มา http://www.naewna.com/news.asp?ID=61983
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|